เทศน์พระ

หน่ออ่อน

๒๘ พ.ค. ๒๕๕๗

 

หน่ออ่อน
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์พระ วันที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๕๗
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรม การฟังธรรมนะ ตั้งใจฟังธรรมให้หัวใจมันยอมรับรู้ ให้หัวใจมันยอมรับสิ่งความเป็นจริง ความเป็นจริงสิ่งที่คนพิสูจน์ไง สิ่งที่คนพิสูจน์ เราหาความจริงอยู่แล้ว สิ่งที่เป็นความจริง เห็นไหม นี่ธรรมะสัจจะ แล้วถ้าเราปฏิบัติ เราปฏิบัติความจริงของเรา ถ้าปฏิบัติความจริงของเรา ถ้ามันเกิดในใจของเรา ความจริงกับความจริงมันพิสูจน์กัน

การพัฒนาของประเทศแต่ละประเทศแตกต่างกัน แตกต่างกันเพราะอะไร แตกต่างเพราะการพัฒนาที่มันเจริญกว่า กับประเทศที่ด้อยพัฒนากว่า นี่เป็นประเทศเดียวกันแต่อาศัยกาลเวลา ถ้าพัฒนาไปถึงที่เดียวกัน ถ้าไปถึงจุดเดียวกันเขาจะรู้ว่าอันเดียวกัน ความเสมอๆ กัน ฉะนั้นความจริงๆ มันความจริงอันเดียวกัน ถ้าความจริงอันเดียวกัน ผู้เทศนาว่าการถ้าไม่มีความจริงในหัวใจ สิ่งที่พูดนี่เห็นไหม มันเป็นสัญญาอารมณ์ สัญญาอารมณ์มันไม่มีข้อเท็จจริงอยู่ในนั้นเลย มันเป็นเสียงเฉยๆ

แต่ถ้าสัจจะความจริงออกมาจากใจดวงนั้น ถ้าใจดวงนั้นมีความจริงอยู่ ความจริงอันนั้นมันพิสูจน์ได้ มันเป็นอริยสัจ มันเป็นสัจจะ มันเป็นสัจจะจะพิสูจน์ได้ ดูสิ สองพันกว่าปีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจนป่านนี้ เห็นไหม สองพันกว่าปีมาแล้ว ถ้าใครพิสูจน์ได้ เห็นไหม ดูสิ เวลาหลวงตาท่านปฏิบัติได้จนถึงที่สุดแห่งทุกข์ เวลากราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มารวมเป็นหนึ่งเดียวได้อย่างไร พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มารวมเป็นหนึ่งเดียวได้อย่างไร รัตนตรัย เห็นไหม พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็น ๓ ไตรรัตนะ ไตรสรณคมน์ สิ่งที่เป็นแก้วสารพัดนึก ๓ ดวง มันมารวมกันได้อย่างไร

แล้วมารวมได้อย่างไรล่ะ รวมได้เพราะเป็นความจริงในใจของหลวงตา เป็นความเป็นจริง นี่มันพิสูจน์ถึงสัจธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่มันซาบซึ้ง ทั้งที่เราศึกษามา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์มามันก็เป็น ๓ ใช่ไหม ไตรลักษณะ เห็นไหม มันเป็นแก้ว ๓ ดวง นี่เวลาเป็นความจริงเป็นความจริงอย่างนั้น แต่ในปัจจุบันนี้ เห็นไหม เวลามีพวกจำมา พวกที่ฟังหลวงตามา เห็นไหม นี่พุทธ ธรรม สงฆ์ รวมเป็นหนึ่งเดียวนี่มันรวมอย่างไร มันรวมที่ไหน ตรงไหนมันรวมล่ะ จำขี้ปากเขามา ถ้าจำขี้ปากเขามา เห็นไหม มันไม่มีข้อเท็จจริงในใจหรอก ถ้ามีข้อเท็จจริงในใจ วิทยานิพนธ์ไม่มีซ้อนกันหรอก

พุทธ ธรรม สงฆ์ รวมเป็นหนึ่งเดียว เป็นวิทยานิพนธ์ของท่าน ท่านรู้ของท่าน ท่านเห็นของท่านตามความเป็นจริงของท่าน เวลาหลวงปู่ขาวท่านเห็นของท่าน ท่านเห็นเป็นรวงข้าว รวงข้าวนั้นถ้าได้หุงรักษาแล้วมันก็จบสิ้นกันไป มันไม่มียางเหนียวอีกแล้ว นี่ครูบาอาจารย์แต่ละองค์ท่านปฏิบัติของท่าน วิทยานิพนธ์ของใครของมันไง พุทธ ธรรม สงฆ์ รวมเป็นหนึ่งเดียวก็หนึ่งเดียวของท่านนั้นแหละ ไม่ใช่หนึ่งเดียวของเราหรอก เพราะหนึ่งเดียวเราก็จำมา ถ้าจำมาวิทยานิพนธ์ที่เหมือนกันมันต้องมีคนหนึ่งผิดแน่นอน ถ้าเป็นสัจจะคือสัจจะอย่างนั้น

สัจจะอย่างนั้นหมายถึงว่า ผู้ที่รู้จริงเห็นจริงมันซาบซึ้ง มันซาบซึ้งเพราะมันสำรอกมันคายของมัน ท่านกราบแล้วกราบเล่าๆ กราบอะไรล่ะ กราบบุญคุณไง กราบเมตตาคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง จิตใจอย่างนั้น จิตใจที่ลงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ลงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าจิตใจที่มันกระด้างล่ะ นี่จิตใจของเรานี่กระด้าง ทั้งๆ ที่เป็นนามธรรม ดูน้ำสิ น้ำที่มันกระด้าง น้ำที่มันน้ำเสียต่างๆ เห็นไหม น้ำเหมือนกัน แต่คุณสมบัติมันต่างกัน

อันนี้ก็เหมือนกัน ในหัวใจของเรา ถ้าหัวใจเรามันกระด้าง หัวใจเรากระด้างเพราะเหตุใดล่ะ น้ำมันเสียมันเสียเพราะอะไร เพราะมันมีสารเคมี มันมีต่างๆ เข้าไปผสมกับน้ำนั้น น้ำมันเน่าเสียเพราะมันหมักหมม ไม่มีออกซิเจนต่างๆ มันก็เสีย นี่ก็เหมือนกัน กิเลสในหัวใจของเราไง กิเลสในหัวใจของเราถ้ามันกระด้างนะ ทั้งๆ ที่เรามาบวชเป็นพระ เป็นศากยบุตรพุทธชิโนรส เป็นบุตรขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นชาวศากยะ เราภูมิใจไง เราได้ห่มผ้ากาสาวพัสตร์เป็นธงชัยพระอรหันต์ เป็นธงชัยของพระอรหันต์แล้วจิตใจของเราล่ะ

นี่เครื่องนุ่งห่มความเป็นอยู่ของเรา เห็นไหม ดูสิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์ ครูบาอาจารย์ของเราตั้งแต่พระอัครสาวกเบื้องซ้ายเบื้องขวาลงมาเป็นพระอรหันต์ ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติไปถึงจะเป็นพระอรหันต์ พระอรหันต์เพราะอะไร พระอรหันต์เพราะชำระล้างกิเลสในใจเสร็จสิ้นไปถึงได้เป็นพระอรหันต์ แล้วท่านก็ห่มจีวรเหมือนเรานี่ ห่มจีวรเหมือนเรา ความเป็นอยู่เหมือนเรา นี่อริยะประเพณี

แล้วสิ่งนี้ ดูสิ ครูบาอาจารย์ท่านวางเป็นข้อวัตรไว้ให้เราฝึกหัด ให้เราฝึกหัดให้ดัดแปลง ดัดแปลงขึ้นมาอะไร ดัดแปลงเพราะอะไร นี่จิตใจมันด้าน พอจิตใจมันด้านก็ต้องเอาสิ่งนั้นมาขัดเกลามัน เอาสิ่งนี้มาขัดเกลาเพราะอะไร ขัดเกลาเพราะมันไม่ชอบ มันไม่ชอบมันไม่พอใจทั้งนั้น มันจะเอาตามความจริงของมัน เห็นไหม ดูสิ ฆราวาสของเขา เขาอยู่ของเขาด้วยความสุขสบายของเขา พอบวชเป็นพระแล้วนี่ต้องมีธรรมวินัยขึ้นมาบังคับ ถ้าบังคับขึ้นมาแล้ว เห็นไหม ถ้าจิตใจมันกระด้าง จิตใจมันด้าน มันก็อ้างเล่ห์ของมันไป สิ่งนี้มันผิวเผินไง มันผิวเผินคือมันไม่เข้าถึงหัวใจของเรา พอมันไม่เข้าถึงหัวใจของเรา มันไม่เห็นประโยชน์ไง แต่เวลาหลวงตาท่านปฏิบัติของท่านถึงที่สุดแห่งทุกข์ พุทธ ธรรม สงฆ์ รวมเป็นหนึ่งเดียว นี่มันซาบซึ้ง น้ำตาไหล น้ำตาร่วง

เขาบอกว่า พระอรหันต์ต้องยิ้มแย้มแจ่มใส พระอรหันต์ต้องมีความรื่นเริง แล้วร้องไห้ทำไม ร้องไห้มันธรรมสังเวช มันสังเวชถึงชีวิต มันสังเวชที่ว่าเราทุกข์ยากมา เกิดตายๆ ในวัฏฏะนี่ เกิดตายในวัฏฏะมาจนป่านนี้ สมบุกสมบันมาตลอด ต่อสู้กันมากับกิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจของตัว นี่ออกธุดงควัตรนี่ ออกธุดงค์ ออกป่าออกเขา เที่ยวประหัตประหารต่อสู้กับมัน นี่สมบุกสมบันมา ใครเป็นคนทำใครเป็นคนที่ประพฤติปฏิบัติคนนั้นจะรู้ เราอาบเหงื่อต่างน้ำ เราลงทุนลงแรงมาขนาดไหน เรารู้ของเรา แล้วชีวิตของท่าน ท่านก็ประพฤติปฏิบัติมาด้วยความมุมานะ ด้วยความบากบั่น

เวลาไปธุดงค์กลับมา เห็นไหม กลับมากราบหลวงปู่มั่น อื้อฮือ ทำไมมันเป็นขนาดนั้น มันเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกมา ทำไมมันถึงขนาดนั้น นี่ไง สมบุกสมบันมา หลวงปู่มั่นท่านเห็นท่านยังตกใจเลย ว่าอดอาหารจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกมา นี่คนเราต่อสู้ต่อสู้ขนาดนั้น เวลาต่อสู้มาต่อสู้กับใคร ต่อสู้กับกิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจไง ต่อสู้กับไอ้ความหน้าด้านไง ต่อสู้กับไอ้ที่มันสอดรู้ไง มันสอดรู้เรื่องธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันสอดรู้ไปหมด เพราะมันมีการศึกษามา มันสอดรู้ว่ามันรู้ แต่ว่ามันรู้จริงหรือเปล่า ถ้ามันรู้ไม่จริงมันก็ต้องรู้จริงมาแล้วสิ แต่มันรู้ไม่จริง เพราะรู้ไม่จริงมันถึงต้องไปทรมานตนไง มันต้องไปทรมานตัวเองในป่าในเขา ต้องทรมานกิเลสไง ทรมานด้วยข้อวัตรปฏิบัติของหลวงปู่มั่น ทรมานโดยคุณธรรมของหลวงปู่มั่น เพื่อให้หัวใจมันเป็นธรรมขึ้นมาไง

ถ้าหัวใจเป็นธรรมขึ้นมา เห็นไหม นี่มันสำรอกมันคายออกมาไง พอมันคายมา พอหลวงปู่มั่นท่านเสียไปแล้ว ต้องปฏิบัติจนถึงที่สุดแห่งทุกข์ พุทธ ธรรม สงฆ์ รวมเป็นหนึ่งเดียว กราบแล้วกราบเล่า กราบแล้วกราบเล่า กราบแล้วเพราะอะไร กราบแล้วเพราะว่าเราทุกข์ยากมาขนาดไหน ต่อสู้บากบั่นมาขนาดไหน ความบากบั่นอันนั้นมันถึงเป็นความจริงอันนั้นไง พุทธ ธรรม สงฆ์ มันรวมเป็นหนึ่งเดียวในใจนี่ เพราะมันบากบั่นมา มันบากบั่นมันมุมานะมา มันทำของมันมา มันเป็นความจริงขึ้นมา แล้วมันสังเวช น้ำตาไหล น้ำตาไหลพรากพรั่งพรู พรั่งพรูเพราะอะไร เพราะว่าจบกันที จบกันที ทำความเป็นจริงให้มันจบกันที พอจบกันที แล้วสิ่งที่มันเป็นมันก็ไปตรงกับสัจจะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่ถึงได้กราบแล้วกราบเล่า กราบแล้วกราบเล่า

เราฟังกันมา เราฟังท่านเอาประสบการณ์ของท่านมาเล่าให้เราฟัง พอเล่าให้เราฟังแล้วเราปฏิบัติขึ้นมาก็เลยเกิดจินตนาการ พอมีจินตนาการขึ้นมา พุทธ ธรรม สงฆ์ รวมเป็นหนึ่งเดียวๆ ก็หลอมสิ เห็นไหม ดูสิ ทองแดง ทองเหลือง ตะกั่ว เขาเอามาหลอม หลอมแล้วเขาก็เทเบ้า เทเบ้าก็เป็นพระพุทธรูปให้กราบกันอยู่นี่ นี่พุทธ ธรรม สงฆ์ รวมเป็นหนึ่งเดียว เศษทองเหลืองนี่รับบริจาค ใครมีบริจาคหมด เอามาหลอมกัน หลอมเสร็จแล้วเป็นพระพุทธรูปเอาไว้ไปกราบ

เห็นไหม นี่มันเป็นสัญญา ความจำนี่ เวลาศิษย์มีครู ครูบาอาจารย์ท่านเทศนาว่าการก็ประสบการณ์ของท่าน สาธุ ฟังแล้วมันก็เป็นคติธรรม แต่เราปฏิบัติถ้ามันจะเป็นจริงมันก็ต้องเป็นจริงมาจากเราสิ เราปฏิบัติของเราให้เป็นจริงขึ้นมา ดูสิ ต้นไม้ เวลาเม็ดพันธุ์ ดูข้าวเวลาเขากล้า มีต้นกล้า เวลาเขาปักดำของเขานะ นาหว่านเขาหว่านแต่เม็ดข้าว เวลามันเกิดมาต้นมันอ่อน จากกล้าเขาก็เอาไปปักไปดำ ถ้านาหว่านเขาหว่านมามันก็งอกงามของมันขึ้นมา เห็นไหม ต้นอ่อน ลมพัดมันพลิ้วมันไหวของมัน ต้นอ่อน เห็นไหม สิ่งใดเป็นประโยชน์ เวลาอาหาร เห็นไหม เราใช้ยอด ยอดกระถิน ยอดต่างๆ ใช้ยอดมันมาเป็นอาหาร นี่ยอดอ่อนมาเป็นอาหาร แต่เวลามันแก่มันแก่เลย ไม้แก่เวลามันแก่มันเฒ่ามันเป็นประโยชน์กับใคร นี่เขาเอามาทำฟืนทั้งนั้น ไม่ทำฟืนก็ไฟป่าเผามัน ถ้าไฟป่ามันเผา เห็นไหม ไม้แก่ ไม้แก่มันดัดยาก ไม้แก่มันไม่เป็นประโยชน์

ถ้าไม้แก่ ดูสิ ดูป่าดูเขา ต้นไม้ที่มันไม้เนื้อแข็ง ไม้ที่เป็นประโยชน์ เขาไปตัดไปเลื่อยมาเพื่อมาสร้างบ้านสร้างเรือน เขาเป็นประโยชน์ทั้งนั้น นี่สิ่งที่เป็นประโยชน์มันเป็นประโยชน์ สิ่งที่เป็นโทษนี่ ไม้แก่ ไม้แก่มันแก้ไขยาก ไม้แก่มันดัดยาก ไม้แก่มันดัดไม่ได้ ดัดไม่ได้มันปล่อยให้ไฟป่า ปล่อยให้มันทำลายไป แต่ถ้ามันเป็นป่า เห็นไหม มันก็เป็นร่มเงากับไม้เลื้อย เป็นร่มเงากับต้นอ่อนที่มันจะเติบโตขึ้นมา

แต่ถ้าต้นอ่อนไปเกิดใต้ไม้แก่ไม้ที่ไม่เป็นประโยชน์ มันเจริญเติบโตไม่ได้ มันจะแกร็นอยู่อย่างนั้น เห็นไหม ไม้แก่ไม่มีประโยชน์สิ่งใดเลย นี่ไม้แก่ ถ้าไม้แก่ไม่เป็นประโยชน์ ไม้ที่มันเจริญเติบโต จิตใจของเราเวลาบวชมาใหม่ เห็นไหม มันจะเป็นต้นอ่อน นี่หน่อของพุทธะ ถ้าหน่อของพุทธะนี่เราศึกษา เทียบเคียง สิ่งใดเป็นคติธรรม สิ่งใดเป็นประโยชน์กับเรา ถ้าเป็นประโยชน์กับเรานะเรารักษาสิ่งนี้ พยายามรักษาศรัทธาความเชื่อ รักษาหัวใจของเรา จากไม้อ่อนให้มันเป็นประโยชน์ ไม้อ่อนถ้ามันยอดอ่อนของไม้เขาไปทำอาหารเป็นประโยชน์ ยิ่งยอดอ่อนยิ่งรสชาติดีต่างๆ

จิตใจของเรา เราปรารถนาดี เราใฝ่ดี เราต้องการคุณงามความดี เราต้องการคุณงามความดีนะ เราต้องพยายามฝึกหัด ข้อวัตรปฏิบัติเราต้องซื่อสัตย์ เราซื่อสัตย์กับข้อวัตรปฏิบัติ เห็นไหม ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม เราทำของเราสิ เราทำข้อวัตรปฏิบัติ ทำเพื่อหัวใจของเราให้มันตรงต่อเวลา ตรงต่อกติกา ตรงต่อต่างๆ ให้เป็นประโยชน์กับเรา ไม้อ่อน ถ้ามันรักษาดีมันเป็นประโยชน์ ดูอย่างเช่นไม้ดัด เขาดัดของเขานะ เขาดัดของเขาตั้งแต่โครงสร้างเลย โครงสร้างก่อนปลูกต้นไม้ เขาดัดลวด ดัดต่างๆ ไว้เป็นโครงสร้าง แล้วเวลาไม้มันเจริญเติบโตขึ้นมา

นี่ก็เหมือนกัน เรามีครูมีอาจารย์ ครูบาอาจารย์ของเราท่านประพฤติปฏิบัติมา ประสบการณ์ทั้งชีวิต แล้วไม่ใช่ประสบการณ์ชีวิตเดียว เห็นไหม ตั้งแต่หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ตั้งแต่ครูบาอาจารย์หลวงปู่ฝั้น ครูบาอาจารย์หลวงปู่แหวน นี่รุ่นหนึ่ง แล้วก็มาหลวงตารุ่นหนึ่ง แล้วพวกเรานี่มันเป็นรุ่นต่อๆ กันมานะ ทีนี้มันกลายพันธุ์ ถึงเวลาต้นไม้นี่ สิ่งใดเราไปปลูกอยู่ที่ไม้อื่นมันเจริญงอกงามกว่า มันเบียดเบียน มันกลายพันธุ์เพื่อจะรักษาเผ่าพันธุ์ของมัน

นี่ก็เหมือนกัน เราก็ว่าเราเป็นพระปฏิบัติๆ เราอยู่กับสังคมนี่ สังคมนี่เดี๋ยวนี้มันจรวดดาวเทียม หลวงตาท่านบอกว่า กรรมฐานดาวเทียม กรรมฐานจรวด มันแซงหน้าแซงหลัง มันไปหมด มันไปโดยอะไรนี่ มันไปโดยประเพณีวัฒนธรรมรูปแบบเท่านั้นเอง แล้วเราจะเป็นอย่างนั้นไหม ถ้าอย่างนั้น ถ้าต่อไป ดูสิไม้แก่มันไม่เป็นประโยชน์กับอะไรเลย สิ่งใดมันเป็นประโยชน์ก็ไม่มีประโยชน์ แล้วมันยังกีดขวางไม้ที่เจริญงอกงาม เห็นไหม ไม้ต้นใหม่ไปอยู่ใต้ร่มเงาของไม้เติบโตแล้วมันจะแกร็นของมัน

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราเห็นกระแสสังคมเห็นกระแสต่างๆ นี่ เราไปอยู่ใต้ร่มเงาของโลก ใต้ร่มเงาของกิเลสตัณหาความทะยานอยาก แล้วมันจะมีความเจริญงอกงามในธรรมไหม มันจะมีคุณธรรมในหัวใจไหม ถ้ามันไม่มีคุณธรรมในหัวใจ จิตใจเรายังบวชใหม่ เป็นไม้อ่อนอยู่ เห็นไหม ดูเด็กๆ มันไร้เดียงสามันทำอะไรมันก็น่ารักไปหมด เขาให้อภัยเพราะมันเป็นเด็ก ถ้าโตขึ้นมาเขาไม่ให้อภัยนะ โตขึ้นมาเขาไม่ให้อภัยหรอก เพราะตามผิดต้องผิดตามกฎหมาย ถ้าตามกฎหมายแล้วถ้าครบองค์ประกอบแล้วมันก็ต้องผิดกฎหมายอย่างนั้น

นี่ก็เหมือนกัน เวลาเราปฏิบัติ เราทำความจริงของเรา ในใจของเรา ถ้ามันผิดก็คือผิด ถ้าผิดแล้วมันเป็นประโยชน์กับใคร มันเป็นโทษกับเราทั้งนั้น ถ้ามันเป็นโทษกับเรา เห็นไหม เราถึงต้องฝึกใจเรา เราต้องดูแลใจของเรา อย่าให้ไปกับกระแสสังคมอย่างนั้น นี่กรรมฐานจรวด กรรมฐานเดียวเทียม นี่มันเรื่องของเขา นี่ใครทำใครได้ เขาทำของเขา เขาก็ได้เวรได้กรรมของเขาที่เขาทำของเขา

แต่เราจะทำคุณงามความดี คุณงามความดีของเรา เห็นไหม ดูสิ เวลาหลวงตา หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ท่านประพฤติปฏิบัติ เวลาท่านศึกษาท่านศึกษาด้วยตนเอง เวลาศึกษาด้วยตนเอง เห็นไหม ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันละเอียดลึกซึ้งที่เราจะคาดหมายเราจะจินตนาการถึงไม่ได้เลย

เวลาปฏิบัติไปนี่ประสบการณ์จริงของเรา ประสบการณ์จริงของเรา เวลาทำเข้าไปแล้วมันมีกิเลสสอดแทรกเข้ามา มันมีสมุทัยเจือปนเข้ามา มันจะปรึกษาครูบาอาจารย์ที่ไหน ท่านก็มาปรึกษาเจ้าคุณอุบาลี หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ท่านมาศึกษากับเจ้าคุณอุบาลีเพราะท่านเป็นคนบ้านเดียวกัน ท่านเป็นคนจังหวัดอุบลด้วยกัน ท่านมาศึกษาค้นคว้าทางวิชาการ แต่เวลาปฏิบัติของเราตามความเป็นจริงของเรา เราปฏิบัติของเราให้เป็นความจริงของเราให้ได้ แต่มันก็ยังไปไม่ได้เพราะอะไร เพราะสมุทัย

สมุทัยนี่ มารเอย เธอเกิดจากความดำริของเรา เธอเกิดจากมรรคอันละเอียดลึกซึ้งจนเราหาตัวมันไม่ได้ มันสอดแทรกกับความคิดเรามาจนเราเชื่อความคิดเราเอง แล้วความคิดเราสิ เราก็ปฏิบัติ เราก็สมบุกสมบันมาขนาดนี้ เราก็อ่านพระไตรปิฎกจากธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาการันตี มารองรับความเห็นผิดของเรา ความเห็นจากที่สมุทัยของเรา ไปศึกษากับหลวงปู่เสาร์ ไปศึกษากับเจ้าคุณอุบาลี ไปศึกษาต่างๆ สมุทัยมันก็เจือปนมาตลอด

นี่มันปฏิบัติแล้วมันหาทางออกอย่างไร เวลาครูบาอาจารย์ท่านปฏิบัติของท่าน ท่านค้นคว้าของท่านนะ ดูสิ หลวงตาท่านจบถึงมหา คำว่ามหาใครจะหลอก ใครจะหลอกเรื่องพระไตรปิฎก ใครจะหลอกว่าธรรมวินัยพระพุทธเจ้าวางไว้ยังไง มันก็รู้หมด รู้หมดแล้วเวลาจะเอาจริงเอาจังขึ้นมามันก็หาทางออกโดยตัวเองไม่ได้ นี่หลวงปู่มั่นท่านคอยเผดียง สิ่งที่รู้มาสิ่งที่ศึกษามาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้วางไว้ให้ได้ เราอย่าพึ่งสมอ้างว่าเป็นของเรา ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ปฏิบัติโดยด้นเดาธรรม ปฏิบัติโดยให้กิเลสตัณหาความทะยานอยากมันชักนำไปก่อน เวลาส่งออกไปนี่รู้ไปหมดๆ แม้แต่ศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามา หลวงตาท่านศึกษามาจนเป็นมหา เวลาไปปฏิบัติกับหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์หลวงปู่มั่นท่านคอยประคองๆ คอยประคองไว้ตลอด คอยประคองให้เป็นไปให้ได้ๆ

เวลาปฏิบัติมามันมีแนวทางมาอย่างนี้ แล้วสังคมจะมาเชื่อถือศรัทธา สังคมจะยกย่องสรรเสริญมาขนาดไหน มันก็เป็นปัญหาสังคม สังคมอย่างนั้นสังคมลวงโลก โลกไง ไม่ใช่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่ธรรมและวินัยที่วางไว้ ผู้ที่ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม เราปฏิบัติให้สมควรแก่ธรรม แล้วครูบาอาจารย์ของเราท่านปฏิบัติมา ท่านได้ผ่านวิกฤตินั้นมา การผ่านวิกฤตินี้มานะ รอดตายๆ มาทั้งนั้น ธรรมะนี้ฟากตายๆ แล้วปฏิบัติกันมามันจะเรียบง่าย มันจะลัด มันจะสั้น มันจะเอาแต่คุณธรรมๆ มันเอามาจากไหน สมุทัยทั้งนั้น เห็นไหม ไม้แก่ๆ ไม่เป็นประโยชน์กับใครเลย กิเลสตัณหาความทะยานอยากมันครอบงำหัวใจ มันไม่เป็นประโยชน์กับใครเลย

ถ้าไม้อ่อน เราเริ่มต้นจากไม้อ่อน ไม้อ่อน หนึ่ง เป็นอาหารที่รสเลิศ ดูสิ หน่อไม้ พวกเห็ด พวกต่างๆ เขาต้องการความนุ่มนวลของมัน นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่มันเจริญเติบโต ไม้อ่อนนี่มันรักษาดูแล ถ้ามันจะโตขึ้นมาก็ต้องให้มันสมเหตุสมผลของมันตามคุณธรรมของมัน จิตใจเราจะพัฒนาก็พัฒนาขึ้นมา วิวัฒนาการของมันวิวัฒนาการขึ้นมาในทางที่ดี เวลามันมีกิเลสตัณหาความทะยานอยาก มันมีกิเลสตัณหาความทะยานอยากครอบงำหัวใจมา มันถึงเวียนว่ายตายเกิดมาตลอด แล้วเรามีสติมีปัญญา เราเกิดมามีพ่อมีแม่ พ่อแม่เลี้ยงดูมาก็หาแต่ของดีๆ มา เพื่อจะให้เราแข็งแรง ร่างกายเราไม่เจ็บไข้ได้ป่วย ใครมีทุนรอนก็ส่งให้มีการศึกษา ศึกษามาแล้วก็เพื่อให้ฉลาด ให้ฉลาดกับโลก

แต่เวลาจะเอาจริงเอาจังขึ้นมา เห็นไหม ดูสิ พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก นี่ก็เป็นอรหันต์ของเรา ให้ชีวิตเรามา ให้การศึกษามา เลี้ยงดูมาทั้งนั้นเลย แต่เวลาจะประพฤติปฏิบัติจริงขึ้นมา อ้าว ใครจะสอน เวลาจะปฏิบัติขึ้นมา พ่อแม่มาโอ๋ พ่อแม่มาคอยดูแลก็กลัวลูกจะทุกข์จะยาก จะทำอะไรก็กลัวลำบากลำบนไปหมด แต่ครูบาอาจารย์ของเราไม่เป็นแบบนั้น สิ่งนั้น ไม้อ่อน ถ้ามันไม่พัฒนาไม่วิวัฒนาการขึ้นมา มันจะเติบโตไปไม่ได้ ไปอยู่ในร่มเงาของต้นไม้ที่เป็นพิษ ร่มเงานี่มันจะแกร็น มันจะขึ้นมาไม่ได้เลย แต่ถ้าจะให้มันเจริญเติบโตมันต้องทนแดดทนฝน มันต้องยืนพิสูจน์ได้ ต้องมีอาหารหาอาหารได้ มันต้องทนแรงลมโดนแดดโดนฝนได้

นี่ก็เหมือนกัน ครูบาอาจารย์ท่านปฏิบัติมา สมบุกสมบันมา ท่านทุกข์มาก่อน คำว่าทุกข์มาก่อน ต้นไม้มันจะโตขึ้นมามันมีโรคมีภัยของไม้นั้น มันมีแมลงมีต่างๆ มากัดกิน มันมีถึงเวลาขาดแคลนน้ำ เวลาน้ำท่วม มันมีวิกฤติไปหมด ต้นไม้แต่ละต้นกว่ามันจะโตมา กว่ามันจะยืนต้นมา ให้มีเม็ดพันธุ์เพื่อเจริญต่อไปเป็นรุ่นๆ คราวต่อไป

นี่ก็เหมือนกัน ครูบาอาจารย์ท่านปฏิบัติมาท่านรู้ของท่านมาอย่างนั้น ถ้าจิตใจของเรามันมีคุณธรรมเห็นไหม จิตใจเรามีวาสนา มันจะไม่คิดน้อยเนื้อต่ำใจ ไม่คิดน้อยเนื้อต่ำใจเพราะเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาออกประพฤติปฏิบัติไม่มีครูมีอาจารย์ ไปศึกษาเขาก็ศึกษากับคนที่ไม่รู้ คนที่ไม่รู้เขาจะพาไปในทางที่ถูกต้องได้อย่างไร คนที่ไม่รู้เขาก็พาไปตามความเห็นของเขา ความเห็นของเขาก็อภิญญา ความเห็นของโลก เห็นไหม

จนเวลาท่านละทิ้งหมด ท่านละทิ้งหมดแล้วเวลามาปฏิบัติด้วยตัวเอง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้เองโดยชอบ ครูบาอาจารย์ของเราท่านปฏิบัติมาท่านปฏิบัติมาด้วยความสมบุกสมบัน ด้วยความสมบุกสมบันนะ เพราะกิเลสมันชอบ กิเลสมันชอบความสะดวก กิเลสมันชอบความสบาย กิเลสมันเชื่อมั่นในตัวมันเอง พอมันเชื่อมั่นในตัวมันเอง ตัวมันเองก็คือกิเลสทั้งนั้น แต่ถ้าเราปฏิบัติตามความเป็นจริง เราจะดัดแปลงมัน เราจะเข่นฆ่ามัน เราจะทำลายมัน มันไม่มีอะไรสมใจปรารถนา มันไม่มีอะไรสมความปรารถนาหรอก ไอ้ความสมความปรารถนามันเป็นเรื่องตัณหาความทะยานอยากทั้งหมด

เราจะต้องฝืน ต้องฝืนของเรา ปฏิบัติของเรา ทำความจริงของเรา ทำตัวของเราให้เป็นความพอดี ความพอดีเห็นไหม มัชฌิมาปฏิปทาคือความพอดี พอดีนะมันเป็นสวยงาม ดูสิ เด็กถ้ามันพอดีของมัน มันไม่แก่แดดมันก็ไม่มีสิ่งใดน่ารังเกียจ ถ้ามันแก่แดด เห็นไหม ดูสิ มันล้ำหน้าไปก่อน มันทำสิ่งใดไปก่อนนี่ มันไม่มีสิ่งใดเป็นสมบัติความจริงของตัว แต่ถ้าเราเป็นเด็กสมความเป็นเด็กของเรา ถ้าเราเป็นเด็กของเรา เราก็ขวนขวายศึกษาของเรา ขวนขวายหาความรู้ของเรา ถ้ามันโตขึ้นมามันรับผิดชอบของมันเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป เพราะอะไร เพราะการกระทำมันสอนมันเอง การกระทำความจริง ผิดมันก็ต้องรู้ว่าผิด ถ้าเวลามันปฏิบัติไปโดยกิเลสมันหลอก เห็นไหม สิ่งนี้ดีงามไปหมด ดีงามแล้วมีผลอะไรกับใจดวงนี้ ถ้ามันดีงามไป แต่ถ้ามันเป็นความจริงนะ เราจะไม่เห็นจริง เราจะขัดแย้ง เราจะโต้แย้ง เราไม่เห็นว่ามันจะเป็นความจริงขึ้นมา มันก็เป็น มันเป็นของมันด้วยเหตุไง ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ ถ้าเหตุมันสมดุลของมัน

ฉะนั้น เรามีหน้าที่สร้างเหตุ หัวใจนี่เหมือนน้ำ มันไหลลงต่ำ น้ำมันไหลไปตามธรรมชาติของมัน ความคิดที่มีกิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจ มันไหลรินล้นฝั่งอยู่ตลอดเวลา ถ้ามันล้นฝั่งอยู่ตลอดเวลา เห็นไหม มันล้นฝั่ง เห็นไหม ดูสิพลังงานที่มันล้นฝั่ง ดูสิ ดูพลังงาน น้ำมันดิบต่างๆ เขาเจาะ เขาขุด เขาหามาเพื่อประโยชน์กับพลังงาน ประโยชน์กับธุรกิจ ประโยชน์กับอุตสาหกรรมทั้งนั้น

จิตใจของคน จิตใจของคนที่เข้มแข็ง จิตใจของคนที่อ่อนแอ จิตใจของคนที่เข้มแข็งทำสิ่งใดนี่เขามีความเข้มแข็งของเขา จิตใจคนที่อ่อนแอ ไม่ต้องทำเลย เวลาจะคิดว่าจะทำมันก็ไม่สู้อยู่แล้ว พลังงานในหัวใจนี่ปล่อยให้มันล้นไป ล้นฝั่งสูญหายไป โดยธรรมชาติของมันเรากำหนดพุทโธๆ นี่ใช้ปัญญาอบรมสมาธินี่ ถ้ามันรวมตัวของมัน เห็นไหม จิตมันมีพุทธานุสติเป็นที่เกาะ มีที่เกาะ พุทโธๆ นี่ จนมันสร้างตัวของมันเองได้ ปัญญาอบรมสมาธิจนมันเข้มแข็งของมันขึ้นมาได้ สิ่งที่มันล้นฝั่งที่มันล้นหายไปกลับมาทรงตัวขึ้นมา นี่สัมมาสมาธิ

ถ้าสัมมาสมาธิ เห็นไหม หน่ออ่อนของพุทธะมันจะเกิด สิ่งที่หน่ออ่อนของพุทธะมันจะเกิดมันจะเกิดอยู่ที่ไหนล่ะ มันก็เกิดบนจิตของเราไง เวลาจิตมันทุกข์มันยากนี่ปฏิสนธิจิต ปฏิสนธิจิตเกิดเป็นมนุษย์ เป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม นี่ใครไปเกิด จิตนี้ไปเกิด ไปเกิดมาแล้วไม่รู้จักตัวเอง รู้จักสถานะของมนุษย์ รู้จักสถานะของเทวดา รู้จักสถานะของพรหม เพราะว่ามันเป็นภพชาตินั้นก็ว่ามีว่าภพนั้นภพชาติเดียว

ในปัจจุบันนี้เราเกิดเป็นมนุษย์ แล้วเราก็มาบวช บวชเป็นพระ จากมนุษย์เป็นพระนี่ ตอนนี้เขาเรียกเราเป็นอะไร เขาเรียกเราเป็นพระ เวลาเราสึกไปก็กลับไปเป็นมนุษย์เหมือนเดิมเป็นคนเหมือนเดิม นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่เวลาจิตมันเกิดๆ พอมันอยู่ในสถานะใดมันก็เข้าใจตามสถานะนั้น ตามสถานะนั้นเท่านั้น

ฉะนั้น ถ้าตามสถานะนั้น เห็นไหม เวลาเรากำหนดพุทโธๆ ให้มันสงบเข้ามา เทวดา อินทร์ พรหม มาฟังเทศน์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลามาฟังเทศน์ของหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ท่านมาเทศน์เรื่องอะไร เรื่องอริยสัจ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เพราะเกิดเป็นเทวดามันก็เกิดตายเหมือนกัน มันก็มีความทุกข์เหมือนกัน เป็นพรหมมันก็เกิดตายเหมือนกัน เกิดเป็นมนุษย์มันก็เกิดตายเหมือนกัน การเกิดตายในสถานะนั้นคือภพนั้น

แต่ถ้ามันมีสติปัญญาขึ้นมา มันเข้ามาสู่จิตเดี๋ยวนี้ เห็นไหม มันแก้ไขที่นี่ เพราะอะไร เพราะศีลนี่เป็นศูนย์กลาง ถ้าเป็นศูนย์กลางนี่มันเป็นเจ้าวัฏจักร มันเป็นสิ่งที่เวียนว่ายตายเกิด ถ้ากลับมาที่นี่มันจะเกิดปัญญาขึ้นมา เกิดปัญญาขึ้นมาทำไม เกิดปัญญาขึ้นมามันจะสำรอกคายที่เราวิตกกังวลอยู่นี่ไง เราเกิดมาจากไหน เรามาอยู่ทำไม แล้วเวลาตายเราตายไปไหน นี่อริยสัจมันอยู่ที่นี่ สัจธรรมมันอยู่ที่นี่ แต่สังคมเขาก็ไพล่ไป ไพล่ไปเรื่องฌานโลกีย์ การรู้วาระจิต การรู้ต่างๆ นั้นเป็นของประเสริฐ แต่ไม่รู้จักตัวเอง คนที่รู้สิ่งอื่นไปทั่วแต่ไม่รู้จักตัวเอง เห็นไหม จิตมันสงบเข้ามาหรือเปล่า ถ้าจิตมันเข้าฌานสมาบัติ ฌานสมาบัติมันไม่มีกำลังส่งของมันออก เห็นไหม

ถ้ามันแก่ไปในทางกิเลสตัณหาความทะยานอยาก มันไม่แก่ไปทางธรรม ถ้ามันแก่ไปทางธรรม เราจะชักเข้ามาสู่ธรรมอย่างไร ศีล สมาธิ ปัญญา เราจะชักใจเข้าสู่มรรคอย่างไร ถ้าเราจะชักใจเราเข้าสู่มรรค ใครเป็นคนชี้นำ ใครเป็นคนบอก เวลาจิตมันสงบๆ อย่างไร เวลาสงบแล้วมีความสุขอย่างไร ถ้ามีความสุข เวลาจิตมันเป็นเห็นไหม ดูสิ เวลาจิตมันสงบ บางคนเห็นนิมิตไปรู้สิ่งต่างๆ ไปส่งออกต่างๆ แล้วแก้ไขไม่เป็น แก้ไขไม่เป็นเพราะอะไร เพราะเรามีกำลังเท่านั้น เรารู้ได้เท่านั้น แต่ครูบาอาจารย์ท่านรู้หมด ท่านรู้หมดว่าถ้าจิตมันสงบเข้ามาเป็นสัมมาสมาธิมันจะทรงตัวของมันเอง มันจะทรงตัวของมันเองได้เพราะสมุทัยจะไม่เข้ามาเจือปนอยู่ในขณะนั้น แต่เวลาสติมันอ่อนลง เวลาคำบริกรรมมันอ่อนลง ดูสิ เวลาสมาธิมันถอยมันเสื่อมมานี่ นั่นน่ะคือสมุทัยมันเข้ามาเจือปน ถ้าสมุทัยเข้ามาเจือปน เห็นไหม ดูสิ น้ำที่เขาทำอุตสาหกรรม น้ำที่เขาทำอาหาร มันต้องสะอาดบริสุทธิ์จนไม่มีเชื้อโรคเขาถึงทำสิ่งนั้นได้ ถ้าน้ำมีเชื้อโรคขึ้นมา เวลาไปทำอาหารสิ่งใด ไปประกอบอุตสาหกรรมสิ่งใดมันจะมีผลเสียเข้ามามากน้อยแล้วแต่ว่ามันจะรุนแรงขนาดไหน

นี่ก็เหมือนกัน เวลาจิตมันเสื่อมมา จิตมันจะออกจากสมาธิมันเสื่อมมา นี่มีสมุทัย สมุทัยคือกิเลส เห็นไหม เวลาใช้ปัญญาไปๆ กิเลสมันก็เข้ามาผสมโรง ผสมโรงมันก็คาดหมาย มันก็คาดของมันไป มันก็หมายของมันไป นี่ไง แล้วก็บอกสิ่งนี้เป็นธรรมๆ เป็นธรรมของใคร แต่ถ้ามีครูบาอาจารย์นะ นี่วางตรงนั้น ไม่ต้องใช้สติปัญญาออกไป ไม่ต้องเอาน้ำนั้นไปผสมไปทำอาหาร ไม่ต้องเอาน้ำนั้นไปสร้างเป็นสินค้าสิ่งใด เราต้องทำน้ำนั้นให้สะอาดก่อน เราต้องมาทำกำหนดพุทโธ ใช้ปัญญาอบรมสมาธิ ให้น้ำมันสะอาดจนมันใช้งานได้ พอมันใช้งานได้ค่อยเอามาทำอาหารหรือว่าทำอุตสาหกรรม

จิตมันสงบแล้ว พอมันไม่มีสมุทัยเจือปนแล้วเราถึงใช้วิปัสสนา ถึงใช้ปัญญาเข้ามาเป็นประโยชน์กับเรา ฉะนั้น เวลาโรงงานอุตสาหกรรมนี่น้ำเสียมันต้องมีอยู่เป็นประจำ เวลาเราทำงานของเรา เวลาเราใช้ปัญญาของเรา จิตมันต้องเสื่อมเป็นธรรมดา เราไม่มีวุฒิภาวะว่าแค่ไหนพอดี แค่ไหนเป็นไปได้ ถ้ามันดี พอมันทำแล้วน้ำมันสะอาดบริสุทธิ์ดี สิ่งที่ผลิตออกมามันก็เป็นของดี ของดีก็เชื่อว่าเป็นของดีก็เร่งการกระทำ พอเร่งการกระทำมันมีอยู่แล้วน้ำมันก็ต้องเสียเป็นธรรมดา คุณสมบัติมันก็ต้องเสียเป็นธรรมดา

นี่ก็เหมือนกัน เวลาภาวนาแล้วที่มันดีแล้วก็เร่งใหญ่เลย เร่งแล้วไปไหน เร่งเพราะความไม่เคยของเรา แต่พอมันเสียหายไปแล้วนี่เราจะแก้ไขอย่างไร เราแก้ไขไม่ถูก ไปไหนก็ไม่ถูก แต่ผู้ที่มีประสบการณ์ คนที่เขาทำโรงงานเก่าแก่มานี่เขารู้เลยว่ามันผิดพลาดตรงไหน มันทำอย่างไร นี่ไง ครูบาอาจารย์ของเราท่านจะคอยชี้นำตรงนี้ คอยบอกเราตรงนี้ว่าสิ่งใดผิดสิ่งใดถูก เราถึงเชื่อมั่นในครูบาอาจารย์ของเรา

ถ้าครูบาอาจารย์ของเราจะคอยชี้นำเป็นที่ให้เราอบอุ่นใจ ให้อบอุ่นใจว่าเราเริ่มปฏิบัติ เริ่มความจริงของเรา จะเดินหน้าก็ไม่กล้าเดินหน้า จะถอยหลังไปเหรอ ก็กลับไปทุกข์ยากเหมือนเดิม ชีวิตของเรานี่มันทุกข์มันยาก เราเห็นภัยในวัฏสงสาร เราได้มาบวชเป็นพระเป็นเจ้า เรามาบวช บวชมาเพื่อจะมาแก้ไขตรงนี้ มนุษย์ก็คือมนุษย์ แต่เวลาแก้ไขที่หัวใจแล้ว มนุษย์เหมือนกัน หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านเป็นคนเหมือนกัน ทำไมเทวดาอินทร์พรหมมาฟังเทศน์ท่านล่ะ เทวดาอินทร์พรหมนี่เขารู้ได้นะ ว่าหัวใจดวงใดมันมีกิเลสตัณหาความทะยานอยากมากน้อยแค่ไหน ถ้ามีกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันมากขึ้นมา มันเห็นแก่ตัวทั้งนั้น แม้แต่ตัวเองก็ไม่เข้าใจเรื่องความผิดความถูก แล้วแสดงออกไปมันจะมีความจริงมาจากไหน เทวดาอินทร์พรหมเขารู้ของเขาได้ เขารู้ของเขาได้ตั้งแต่เริ่มต้นที่ยังไม่ได้เทศน์ แล้วเวลาเทศน์ออกมามันจะมีเทวดาอินทร์พรหมที่ไหนเขามายอมรับความจริงอันนี้ล่ะ มันไม่มี มันไม่มี เทวดาอินทร์พรหมถึงไม่สนใจพระแบบนั้น พระที่ไม่มีความจริงในหัวใจไม่มีใครเขาสนใจหรอก

แต่ถ้าพระที่มีความจริง เห็นไหม สังคมเขามองไม่ออก หลวงปู่เสาร์หลวงปู่มั่นท่านไม่เคยออกมาสังคมเลย ท่านอยู่ป่าอยู่เขาๆ เพราะเหตุใด อยู่ป่าอยู่เขาเพราะมันเป็นสัจจะ มันเป็นความจริง โลกมีเท่านี้ รูป รส กลิ่น เสียง สิ่งต่างๆ นี้มนุษย์สร้างขึ้น มันไม่เป็นความจริง แต่ที่เป็นความจริง สัจธรรม เห็นไหม ดูสิ สภาวะแวดล้อมมันเป็นความจริงของมัน มันเปลี่ยนแปลงไปตามความเป็นจริงของมัน คนต่างหากที่ไปทำลายมัน

ครูบาอาจารย์เราท่านอยู่ในความสงบอย่างนั้น ท่านใช้ชีวิตของท่านอยู่กับสภาวะแวดล้อมที่เป็นความจริง แต่ทางโลกเขาเห็นว่าไม่มีศักยภาพ คนที่มีศักยภาพ เห็นไหม เขาต้องมีวัตถุที่หรูหรา เขาต้องมีสิ่งอำนวยความสะดวก สิ่งที่โลกเขาเห็นได้ เห็นได้เพราะเขามีสมองแค่นั้น เขารู้แค่นั้น ว่าในกระแสสังคมเขาชอบสิ่งใดกัน แต่ในสัจธรรม ในอริยสัจ ในมรรคญาณ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ข้อวัตรปฏิบัติ อริยะประเพณี โลกเขารู้กับเราไม่ได้ โลกเขารู้กับเราไม่ได้หรอก โลกนี่เขาตกใจ กิเลสมันบีบคั้นในหัวใจของเขา เขาไม่ไว้ใจตัวของเขา เขาต้องหาความมั่นคงในชีวิตของเขา

แต่ผู้ที่มีคุณธรรมในหัวใจ เห็นไหม อาหารจะหาจากที่ไหน เลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง เช้ามาออกบิณฑบาตนี่มันมีทั้งนั้นล่ะ เราจะไม่วิตกกังวลกับชีวิตความเป็นอยู่ของเราเลย เวลาชราคร่ำคร่าขึ้นมา เจ็บไข้ได้ป่วย เจ็บไข้ได้ป่วยก็น้ำมูตรเน่า ดูสิ รักษาโรคด้วยธรรมโอสถ สิ่งนี้ต่างๆ โรคมันเกิดขึ้นที่ไหน โรคมันก็เกิดขึ้นที่ร่างกายของมนุษย์ เวลามันตายไป ร่างกายมนุษย์นี่อาศัยร่างกายของมนุษย์นี่ที่อยู่อาศัย ถ้าที่อยู่อาศัยถึงเวลาโรคมันเจ็บไข้ได้ป่วยแล้วก็วาง ก็สลัดทิ้งมันไป สลัดทิ้งมันไปเพราะว่ามันไม่ตื่นเต้นสิ่งใด ผู้ที่มีคุณธรรมในหัวใจเขาไม่ตื่นเต้น ฉะนั้นโลกถึงเข้าใจสิ่งนั้นไม่ได้

ถ้าไม้แก่มันจะไม่เป็นประโยชน์กับใคร แต่ถ้าเป็นไม้อ่อนมันเป็นอาหารที่เลิศรส เป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ แต่ถ้าหัวใจ หัวใจเวลามันอ่อนแอนะ เวลามันอ่อนแอมันไม่เป็นประโยชน์กับสิ่งใครๆ เลย เวลาจิตใจที่มันอ่อนแอ จิตใจที่มันแข็งกระด้าง เวลามันแก่แดดแก่ลม มันก็ไม่เป็นประโยชน์กับใคร ไม่เป็นประโยชน์กับใครแล้วมันจะเป็นโทษด้วยต่างหาก เป็นโทษกับตัวเอง มันกล้าจนบิ่น กล้าจนไม่เป็นประโยชน์กับสิ่งใดเลย แล้วทำสิ่งใดก็ไม่เป็นประโยชน์กับตัวเองเลย

เวลาสิ่งที่ว่าเป็นต้นไม้ ต้นไม้มันเป็นพืช สิ่งมีชีวิตที่ไม่มีวิญญาณครอง บางชนิดมันเป็นประโยชน์ บางชนิดเป็นโทษ บางชนิด เห็นไหม มันเป็นต้นไม้พิษ เขาก็เอามาเป็นยาพิษสำหรับใช้เป็นอาวุธสมัยโบราณ นี่คนต่างหากเอาสิ่งนั้นมาเป็นประโยชน์ นี่เหมือนกัน ไอ้นี่มันเป็นพืช เป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่มีวิญญาณครอง แต่ของเรามีวิญญาณ มีจิต เรามีจิตของเรา เห็นไหม ร่างกายนี้เป็นสิ่งที่มีชีวิต แล้วจิตวิญญาณนี้มันครองด้วย แล้วเวลากิเลสตัณหาความทะยานอยากมันทำให้จิตใจมันแก่แดด มันอหังการจนมันไม่เป็นประโยชน์กับเราเลย แต่เวลามันอ่อนแอ ไม้อ่อนมันจะเป็นประโยชน์ ประโยชน์กับที่เขาเอามาเป็นอาหาร เวลาจิตใจของเรามีศรัทธามีความเชื่อ มีความมุมานะ มันยังอ่อนอยู่ควรจะดูแลรักษา เวลาดูแลรักษามันต้องมีสติมีปัญญา อย่าให้กิเลสมันครอบงำ อย่าให้กิเลสมันมาชักนำไป ให้มันเสียหายไป

ดูแลใจของเราเพื่อประโยชน์กับเรา ถ้าดูแลใจเราเพื่อประโยชน์กับเรา เวลามันเติบโตขึ้นมามันก็ไม่เป็นไม้แก่ที่ไม่เป็นประโยชน์ มันจะเป็นไม้แก่ เห็นไหม ดูสิ เวลาต้นไม้ ต้นสัก ต้นตะเคียนต่างๆ ที่มีอายุเป็นร้อยปีพันปีมันจะเติบโต ต้นเดียวสร้างบ้านได้หลายๆ หลัง เวลาไม้แก่ที่เป็นประโยชน์นี่เขาดูแล เขารักษาเพื่อประโยชน์

นี่ก็เหมือนกัน หัวใจของเราถ้าดูแลรักษาให้มันเป็นประโยชน์อย่างนั้น เป็นประโยชน์กับเรา อัตตา หิ อัตตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน เริ่มต้นขึ้นมาเราต้องมีครูมีอาจารย์เพื่อรักษาให้เราเติบโตขึ้นมา ถ้าเราไม่มีครูบาอาจารย์นี่ให้กิเลสมันนำหน้า เวลาประพฤติปฏิบัติไปมันก็จะล้มเหลว เพราะโดยธรรมชาติทุกดวงใจมีอวิชชา ความไม่รู้นี่มันจะเดินไปไหน

แต่ถ้าคนมีวาสนาอย่างเช่นหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ทั้งๆ ที่ว่าท่านมีอำนาจวาสนาบารมีของท่าน ท่านยังค้นคว้าพระไตรปิฎก ท่านยังค้นคว้าไปปรึกษาเจ้าคุณอุบาลี ไปปรึกษานักปราชญ์ ปรึกษาเพื่ออะไร ปรึกษาเพื่อไตร่ตรองเพื่อคัดแยก แล้วเวลาเข้าเผชิญกับความจริง เหมือนเราไม่เคยเจอเสือ เรามาวิเคราะห์วิจัยกันว่าเสือมันมีลักษณะอย่างไร แล้วเราก็วิจัยกันอยู่อย่างนั้น เรายังไม่เคยเข้าไปในกรงเสือ ถ้าเราเข้าไปในกรงเสือ เข้าไปในป่าไปเจอเสือ เวลาไปเจอสภาพแบบนั้นความรู้สึกมันแตกต่างกัน

นี่ก็เหมือนกัน เวลาครูบาอาจารย์หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ท่านไปปรึกษาใครก็ปรึกษาโดยทางทฤษฎี แต่เวลาไปเจอก็ต้องจิตใจของท่านเข้าไปเจอเอง ไปเจอพญามารเอง ไปเจอกิเลสเอง ไปต่อสู้เอง ไปชำระล้างกันเอง แต่ก็ต้องศึกษาไป นี่ก็เหมือนกัน เวลาเริ่มต้นจากว่าจิตเราอ่อนแอ เราต้องมีครูบาอาจารย์ เราจะเชื่อตัวเองไม่ได้ แต่เวลาว่าอัตตา หิ อัตตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ทำไมต้องเชื่อตัวเองล่ะ เชื่อตัวเองเพราะว่าเราสำรอกเอง เราคายเอง

เวลาเราเข้าไปเจอเองใหม่ๆ เห็นไหม เวลามันปล่อยมันวางนี่ เราก็เชื่อตัวเองแต่เชื่อไม่ได้ เชื่อไม่ได้เพราะอะไร เพราะกาลเวลามันพิสูจน์ พอเวลามันผ่านไปมันสงสัย มันสงสัย มันเอะใจ มันไม่แน่ใจ ความสงสัยความไม่แน่ใจนี่ต้องยกผลประโยชน์ให้กับคติธรรมเลยว่าไม่ใช่ ต้องยกผลประโยชน์ให้กับคติธรรมว่าสิ่งนี้ยังไม่ใช่ธรรม ถ้าเป็นความเป็นธรรมมันจะไม่มีสิ่งใดเข้ามายุมาแหย่ มาให้สงสัย มาให้เราวิตกกังวล ไม่มีสิ่งใดๆ เลย แต่มี มีสติมีปัญญา มีการรู้เท่า มี! เหมือนต้นไม้เป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่มีวิญญาณครอง สัตว์มันเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีวิญญาณครอง สิ่งที่มีชีวิตคือร่างกายมีชีวิต มีเซลล์มีต่างๆ มันมีชีวิตของมัน แล้วมีจิตวิญญาณครอง จิตวิญญาณรู้เท่า จิตวิญญาณนี้รู้เท่ารู้แจ้ง สำรอกคายออกหมด เห็นไหม

ฉะนั้น ถ้าปฏิบัติอย่างนี้ ปฏิบัติตามความเป็นจริง จากไม้อ่อนเราก็ดูแลรักษาไม่ให้เป็นไม้แก่ ไม้แก่ที่มันเกิดทิฏฐิ เกิดมานะ เกิดความอหังการ แล้วไม่ฟังใคร แต่เป็นไม้อ่อน ไม้อ่อนก็ไม่ใช่ไม้เลื้อยจนตั้งตัวเองไม่ได้ เห็นไหม มัชฌิมาปฏิปทา ความพอดี ความพอดีการรักษาหัวใจของเรา การรักษาศรัทธาของเรา การรักษาแนวทางปฏิบัติของเรา แนวทางปฏิบัตินี้สำคัญมาก มรรคโค ทางอันเอก ไม่มีทางไปกันเลยจะไปกันอย่างไร จนตรอกกันหมด อั้นตู้กันหมด แต่มีครูมีอาจารย์มีทางไป นี่มรรคโค ทางอันเอก ฉะนั้น เราพยายามฝึกหัดใจของเรา ดูแลใจของเรา เพื่อเข้าสู่สัจจะความจริงเป็นประโยชน์กับใจดวงนี้ เอวัง